สงเคราะห์ตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ความต่างระหว่าง ทาน ศีล ภาวนา และ ศีล สมาธิ ปัญญา”
กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ขอหลวงพ่อเมตตาช่วยอธิบายความแตกต่างระหว่าง ทาน ศีล ภาวนา และ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ด้วยเจ้าค่ะ ขอบพระคุณ
ตอบ : ไอ้นี่คำถามนี้คงงงไง เพราะเวลาเราพูดลิ้นมันพันกัน แล้วมันพูด มันพูดหลายเหตุการณ์ บางทีก็ ทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา
พอเห็นคำถามนี้เราระลึกถึงตัวเราเองเลย เพราะเราพูดบ่อย พอพูดบ่อยแล้วมันพันกันไปไง ทาน ศีล ภาวนา และ ศีล สมาธิ ปัญญา เวลามันเทศน์ มันเทศน์แบบว่า เวลาหลวงตาท่านเทศน์นะ เวลาท่านบอกว่ามาโครงการช่วยชาติฯ นี่แกงหม้อใหญ่ แกงหม้อใหญ่คือประชาชนทั่วไป ต้องพูดให้เข้าใจไง ฉะนั้น เวลาประชาชนทั่วไป
แต่เวลาท่านบอกว่าแกงหม้อเล็ก ก็เวลาเทศน์กรรมฐานด้วยกัน ถ้าแกงหม้อจิ๋ว แกงหม้อจิ๋วก็เวลาเทศน์สอนพระ เวลาสอนพระ เพราะพระรู้ศัพท์ พระเป็นนักปฏิบัติอยู่แล้ว เวลาพูดสิ่งใดแล้วมันแบบว่ามันสะเทือนเลย เวลาพูดอะไรมันเป็นแบบว่าธรรมะโดยตรง ธรรมะโดยตรงคือธรรมะเข้มข้น แบบธรรมะที่ว่าหลวงปู่ตื้อ เวลาหลวงปู่จวนท่านเทศน์ นั่นน่ะธรรมะเข้มข้น แต่ถ้าเป็นมารยาทสังคม เทศน์อย่างนั้นไม่ได้
เทศน์กรรมฐานก็เป็นเรื่องบัญญัติ ถ้าเทศน์เรื่องประชาชน แกงหม้อใหญ่ พอแกงหม้อใหญ่ก็ทาน ศีล ภาวนาไง เวลาแกงหม้อใหญ่ก็เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ พูดถึงสังคม ทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา
แต่เวลาพูดถึงนักปฏิบัติด้วยกัน ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา คำว่า “ศีล สมาธิ ปัญญา” เพราะศีล เพราะอะไร เพราะนักบวช นักปฏิบัติ เราจะทำทานๆ ทำทานก็อย่างที่ว่านี่ ทำทานก็ให้ธรรมเป็นทานๆ
แต่ถ้าให้ธรรมเป็นทาน ภาษาเด็กๆ เด็กๆ เวลาพูดไปมันยังไม่มีความเข้าใจ เด็กๆ ก็เหมือนกัน เวลาพูด ทาน ศีล ภาวนา ทานก็คือการเสียสละ เสียสละทาน ทานมัย ศีลมัย นี่เวลาพูดถึงเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องสมาธิ ปัญญา
ฉะนั้น ทาน ศีล ภาวนา มันเป็นเรื่องของฆราวาส ทาน ศีล แล้วก็ภาวนา ก็ฝึกหัดภาวนา ทาน ศีล ภาวนา
แต่เวลานักปฏิบัติเลย ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมา มันต้องมีศีล การรักษาศีลก็ต้องมีปัญญานะ ถ้าการรักษาศีลไม่มีปัญญา จะรักษาอย่างไร ถ้าการรักษาศีลไม่มีปัญญาการรักษา
เหมือนเวลาบอกว่า อยู่เฉยๆ ก็เป็นศีล เวลาวัตถุก็เป็นศีล สิ่งที่มันเป็นสิ่งไม่มีชีวิตเป็นวัตถุตั้งอยู่นี่ มันไม่ทำบาปเลย มันไม่ขยับไม่เคลื่อนที่ด้วย เป็นศีล
แต่เวลาถ้าเป็นศีลของมนุษย์นะ มีศีลต้องมีธรรมไง ปาณาติปาตา เราไม่ทำลายสัตว์ แต่เราก็เมตตาสัตว์ไง เราไม่ทำลายสัตว์ เราก็ช่วยเหลือเขาไง
ถ้าเราไม่ทำลายเขา เราก็ไม่ผิดศีล เราไม่ผิดศีลแล้วทำอะไร ไม่ผิดศีล เพราะไม่ผิดศีลมันก็ไม่มีคุณธรรมขึ้นมา ถ้าเราไม่ผิดศีล เราต้องมีธรรมด้วย
ปาณาติปาตา เราไม่ทำลายเขา เราไม่ทำลายเขา เขาตกทุกข์ได้ยาก เราก็จะช่วยเหลือเขา เขาตกทุกข์ได้ยาก เราก็จะดูแลเขา
ถ้ามีศีลๆ มีศีลก็ไม่ทำอะไรเลย นั่งเฉยๆ มองก็นั่งเฉยๆ มองกันอย่างนี้ เขาตกทุกข์ได้ยากก็มองเฉย ก็มันเป็นวัตถุไง
แต่ถ้ามันมีหัวใจ เราเห็นแล้วเราทนได้ไหม เราเห็นแล้วเราสะเทือนใจไหม ถ้าเราเห็น เราสะเทือนใจ เราช่วยเหลือเขาได้เราก็ช่วยเหลือเขา
ไม่ต้องช่วยเหลือ ลองคุยกับเขาหน่อยเดียวก็พอแล้ว คนเราตกทุกข์ได้ยากนะ มีเพื่อนคุย มีเพื่อนแค่มาแนะนำนี่ โอ้โฮ! มันอบอุ่น คนเรามันจนตรอกนะ ถ้ามีคนมาพูดปั๊บ มันมีทางออก มันมีคนแนะนำ
นี่พูดถึงว่า ให้แยกแยะระหว่าง ทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา
พอเขาเขียนมา เราอ่านถึงปัญหานี้ ขำตัวเองไง เพราะว่าเราหลุดปากบ่อย เวลาเทศน์ๆ ไป สองประโยคนี้จะสับกัน ถ้าสับกัน
เพราะว่า ถ้าบอกศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา โดยประชาชนทั่วไปแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วทำอะไรล่ะ
แต่ถ้าบอกว่า ทาน ศีล ภาวนา เราให้อภัยต่อกัน เราช่วยเหลือเจือจานกัน นี่ระดับของทาน ระดับของทานคือมีน้ำใจต่อกัน
เพราะเราดูในพระไตรปิฎกแล้วซึ้งมาก การให้ทางกัน การให้ทาง การให้ทางคือการหลบหลีกให้เขาไปก่อนก็เป็นทาน
แล้วที่ในกรุงเทพฯ ที่รถปาดหน้ากันๆ มันเพราะอะไรล่ะ เพราะว่าต่างคนต่างจะเอาชนะกันไง ถ้าต่างคนต่างมีสตินะ เราให้ทางเขา ให้ทางเขาไปก่อน เราให้ทาง เราได้ทำบุญแล้วนะ พอเราได้ทำบุญนะ มันจะเกิดการโต้แย้งไหม
ตอนนี้เรื่องในกรุงเทพฯ มีปัญหามากเลยเรื่องรถปาดหน้ากัน แต่ถ้าเราให้ทางเขา เราไม่ได้ไปเลยครึ่งวัน ไหลมาเป็นสายเลย ให้คันเดียว มันไหลมาเป็นสายเลย
เดี๋ยวก็ไฟแดง มันก็ตัด ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะไม่ได้ไป
การให้ทางกัน การให้ทางกันมันเหมือนการเดินบนสะพาน เวลาสะพานไปเจอหน้ากันจะไปอย่างไร หลบให้คนหนึ่ง เพราะสะพานสมัยโบราณมันเป็นไม้ไผ่ลำเดียว ไม้ไผ่ลำเดียวเท่านั้นน่ะ
เพราะเราอยู่ป่ามาเราเจออย่างนี้บ่อย มันเป็นขอนไม้อันหนึ่งหรือไม้ต้นหนึ่งวางขวางไว้แล้วให้เดินข้าม ประชาชนเขาเดินข้ามทุกวัน แล้วพระไปบิณฑบาตก็เดินข้ามอย่างนั้นน่ะ นั่นน่ะการให้ทาง การให้ทางก็เป็นทานนะ
ฉะนั้น ทาน ศีล ภาวนา มันเป็นเรื่องของสังคม เรื่องของฆราวาส เพราะเราทำกันเป็นปัญหาสังคม เราจะบอกว่า มันเป็นเรื่องแบบว่าสังคมที่จับต้องได้ แต่ถ้าบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มันไปแล้ว
เพราะว่ามันมีลูกศิษย์คนหนึ่ง เมื่อก่อนนะ เขาเป็นมหายาน เขาบอกว่าทำทานไม่ได้ผลหรอก เพราะมหายาน เรื่องทานเขาเป็น ดูสิ พวกทิเบตเขามีทำบุญไหม เขามีแต่การปฏิบัตินะ เวลาเขาไปออกแสวงบุญ เขากราบไปน่ะ ไอ้เรื่องเสียสละทานอย่างนี้ไม่ค่อยมี เพราะพระเขาจะหาอยู่หากินกันเอง
นี่ไง เขาบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วเขาบอกว่าทานไม่สำคัญ
เขาเคยมาโต้แย้งกับเรานะ บอกว่าเรื่องทานเหมือนกับไม่มีผลเลย แล้วเขาก็ภาวนาไป พอภาวนาไปพักหนึ่งเขามาหาเราเลยนะ เขาภาวนาไปนะ เขาไปเห็นกามราคะของเขา พอเห็นกามราคะของเขา เขาสู้ไม่ได้ เขามารำพันกับเรานะ “หลวงพ่อ เหมือนผมเอาหน้าไปให้มันต่อย”
แล้วเราบอก เรามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่งเขาบอกว่าเขาสร้างพระพุทธรูป เขาสร้างพระพุทธรูปนะ ๒ องค์ องค์หนึ่งไว้ทางทิศเหนือ องค์หนึ่งไว้ทางทิศใต้ ภาคใต้ ๒ องค์ แล้วเขานั่งภาวนาไปนะ เขาเห็นเป็นพระพุทธรูปทองคำเลย เป็นพระพุทธรูปทองคำ
นี่เวลาคนที่มาถามปัญหาการปฏิบัติกับเรา ถ้าใครทำอะไรไว้ เวลามาพูดนี่ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผลของมันไง
ไอ้ที่บอกว่าทานไม่มีผลนะ เวลาภาวนาไปแล้วมันแห้งแล้ง พอภาวนาไปแล้วมันทุกข์มันยาก ภาวนาไปแล้วมันปิดแบบว่าไม่มีทางไปเลย ทุกข์มาก แล้วก็รู้ๆ นะ เขาเลยมาสารภาพกับเราไง
เราบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ใครจะเก่งกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทาน ศีล ภาวนา มันเป็นเหมือนสามเส้า เตาสามเส้ามันวางหม้อแล้วมันมั่นคง ถ้ามันมีศีลกับมีสมาธิ ศีลกับปัญญามันสองเส้า ทาน ศีล ภาวนา
ทาน ศีล ภาวนา มันต้องมีทาน เพราะทานนี้มันทำให้คน เพราะมันมีโอกาสโดยการสร้างบุญกุศล อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเสียสละทานมาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ นั่นสำคัญมาก
ทีนี้เวลาเป็นพระ ถ้าพระที่เขามีปัญญา พระที่เขามีกำลัง เขาทำของเขา อย่างเช่นหลวงตา โครงการช่วยชาติฯ นี่ทาน ทานจากพระอรหันต์เลย ทานจากน้ำใจของหลวงตา
หลวงตาทำโครงการช่วยชาติฯ กี่หมื่นล้าน ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านต้องทำอะไรอีก แล้วท่านมาทำทำไม พระอรหันต์ต้องมาทำอะไรอีกไหม พระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้วทำไมท่านลงมาแบกประเทศไว้เลย นี่อานิสงส์ของหัวใจของท่าน นี่พูดถึงว่า ทาน ศีล ภาวนา ถ้าพระที่มีสติปัญญาเขาทำอย่างนั้น
ฉะนั้นบอกว่า แล้วศีล สมาธิ ปัญญาล่ะ ทาน ศีล ภาวนา กับศีล สมาธิ ปัญญา แตกต่างกันอย่างใด
มันก็มาจากรากเหง้าเดียวกัน มันมาจากรากเหง้า เวลาเราศึกษาธรรมะจากหัวใจ เวลาเราปฏิบัติเข้าไปสู่หัวใจ นี่ก็เหมือนกัน ทาน ศีล ภาวนา ก็เกิดจากเจตนา เกิดจากหัวใจ ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็เกิดจากหัวใจ แต่มันหัวใจของฆราวาส หัวใจของผู้ที่เขาแสวงหา กับหัวใจของนักบวช หัวใจของนักปฏิบัติ หัวใจที่เข้มข้นกว่ากัน นี่หัวใจของคนมันก็เป็นระดับที่มันพัฒนาขึ้นไปไง
ฉะนั้น ทาน ศีล ภาวนา ก็เป็นระดับพื้นฐานของชาวพุทธ ว่าอย่างนั้นเลย ทุกคนน่ะ ชาวพุทธถ้าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาจะมีทาน ศีล ภาวนา ทานของเขา แล้วเขาถือศีลของเขา แล้วเขาฝึกหัดภาวนาของเขา
แล้วถ้าศีล สมาธิ ปัญญาของนักปฏิบัติ นักบวช ผู้ที่ออกประพฤติปฏิบัติแล้ว นั่นน่ะศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องไปห่วงมัน
ไปห่วงนะ มีคนมาถามปัญหาอีกแหละ ภาวนาทั้งคืนไม่เห็นดีเลย พอตี ๔ นะต้องลุกไปหุงข้าว มันจะไม่ให้ลุกไง บอกว่าภาวนาดี ไม่ต้องไปหุงข้าว มันเป็นบุญหยาบๆ ภาวนาดีกว่า เขาก็เลยละล้าละลังมาถามเรานะ
เราบอกลุกเลย ไปหุงข้าว เพราะถ้านั่งไปก็ไม่ได้หรอก
เวลากิเลสมันหลอกไง นั่งมาทั้งคืนนะ อู้ฮู! ทุกข์ยากมากเลย พอตี ๔ ต้องหุงข้าวใส่บาตรใช่ไหม มันบอกว่ากำลังจะดีเลย จิตกำลังจะดีเลย คือทานมันก็จะไม่ให้ทำ ภาวนามันก็จะไม่ได้ มันไม่ได้ทั้ง ๒ ทางเลย
บอกลุกไปซะ ไปหุงข้าวซะ ลุกไปหุงข้าวเลย ใส่บาตรแล้วภาวนาต่อไป
นี่พูดถึงว่า ทาน ศีล ภาวนา และ ศีล สมาธิ ปัญญา มันแตกต่างกันอย่างใด
มันแตกต่างกัน มันมาจากขั้วเดียวกัน คือมาจากหัวใจ มาจากเจตนาเหมือนกัน มาจากฐีติจิตเหมือนกัน แต่มันแตกต่างกันที่หยาบละเอียด ฉะนั้น คนที่หยาบละเอียด คนที่เขาฉลาดเขาก็หาแต่ผลประโยชน์ของเขา คือมันเป็นประโยชน์ของคนทำทั้งนั้นน่ะ
หลวงตาบอกเลยนะ การทำทานๆ เหมือนเจ้าของนาเขาทำนา เนื้อนาบุญของโลกๆ พระนี่ก็เหมือนเนื้อนาบุญของโลก
เวลาเจ้าของนาเขาก็เกี่ยวข้าวไปหมดน่ะ ไอ้เศษข้าวที่ตก ไอ้ฟางข้าวมันตกอยู่ที่นา แต่เวลามองมุมกลับ เวลาสละไปแล้ว พระได้เต็มไปหมดเลย มีแต่ของพระ โยมไม่มีอะไร กลับบ้านมือเปล่า
แต่หลวงตาบอกว่า ไปทำบุญที่วัดนะ แล้วกลับ รถมาเปล่าๆ นะ เวลากลับ เอาพุทโธไปเต็มคันรถเลย เวลามามีแต่ไทยทานมา พอดัมป์ใส่วัด เวลากลับไปรถเปล่าๆ เลย เอาพุทโธใส่ไปเต็มคันรถ นี่หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ประจำ
มันถึงเป็นบุญกุศล มันเป็นนามธรรมไง แต่พวกเรามองไม่เห็น พวกเราไม่เข้าใจ แล้วก็พูดเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วก็จะพูดอย่างนี้ พระมีแต่ได้ๆ เพราะพระมีแต่ได้ก็จะมาข้อที่ ๒. นี่
ทาน ศีล ภาวนา กับ ศีล สมาธิ ปัญญา จบ
มันเป็นมาจากขั้วหัวใจเดียวกัน แต่มันเป็นที่สูงต่ำต่างกัน ถ้ามันสูงต่ำต่างกัน เวลามันต่ำๆ คือว่าพื้นๆ ของโลก ทาน ศีล ภาวนา ให้ทุกคนได้เสียสละ ให้ทุกคนได้ทำ เห็นไหม ให้ลูกหลานเรา
ดูสิ เด็กๆ มาประจำ เวลามานะ เขาบอกเลย มันใส่ออมสินมันมา มันแคะมาถวายหลวงพ่อหมดเลย นี่ไง เด็กๆ มันทำ พ่อแม่เขาฝึกให้มันทำ มันกลับจากโรงเรียนมาเหลือมันก็ใส่ออมสินไว้ๆ เวลามันมาวัด มันแคะมาหมดเลย แล้วมันก็มาเอาทอฟฟี่ไปอันหนึ่ง ให้รางวัลทอฟฟี่อันหนึ่ง ไอ้นี่เราเอาไว้ฝึกเด็กๆ ไง เอาไว้ฝึกของเรา ทาน ศีล ภาวนา
แต่เวลาศีล สมาธิ ปัญญา มันไม่มีวัตถุให้จับต้องแล้ว มันต้องมีพุทโธ มีปัญญาอบรมสมาธิ มีสติที่เข้มแข็ง แล้วพยายามดูแลหัวใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่ฝึกหัดให้ปฏิบัติขึ้นมา มันก็มาจากขั้วเดียวกัน แต่มันสูงต่ำต่างกันอย่างนั้น จบ
ถาม : เรื่อง “พระนำเงินส่วนตัวนั้นไปให้แก่คนอื่นบาปไหม”
หลวงพ่อ : นี่คำถามนะ ว่าพระมีแต่เอาๆ มันเข้าตรงนี้
ถาม : พระนำเงินส่วนตัวนั้นไปให้แก่คนอื่นบาปไหม
ขออนุญาตเรียนถามปัญหาครับ ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องเงินที่เขาทำบุญให้พระเพื่อให้พระใช้เป็นการส่วนตัว ไม่ได้ถวายเป็นสังฆทาน แค่นึกว่า ตอนคนเขาถวาย เขาถวายด้วยปรารถนาจะทำบุญ ถ้าไม่เป็นพระ เขาคงไม่ถวายเพื่อให้พระใช้เป็นการส่วนตัว ให้แก่พระเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ แก่ศาสนา
แม้กิจกรรมนั้นพระจะใช้เพื่อสงเคราะห์ตัวเอง เช่น พระจะนำไปใช้เป็นค่าโดยสาร ซื้อหนังสือธรรมะ หลอดไฟใช้ในกุฏิ คอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ตามก็เพื่อใช้ในกิจการของศาสนาเท่านั้น
หากพระรูปนั้นนำเงินส่วนตัวนั้นไปให้แก่คนอื่น เช่น สร้างบ้านให้แก่อดีตภรรยา ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าป่วยไข้ของบุตร สงเคราะห์ญาติที่ลำบากป่วยไข้ พระจะบาปไหม และคนที่รับเงินจากพระนั้นจะบาปไหม
ตอบ : นี่เป็นคำถาม เห็นไหม ว่าพระรับมาๆ ถ้าพระรับมา
คำถามว่า “พระนำเงินส่วนตัวไปใช้นั้นให้แก่คนอื่นบาปไหม”
คำถามมันตอบเสร็จแล้วล่ะ พระนำเงินส่วนตัวก็ส่วนตัวของพระ เงินส่วนตัวมันจะไปเกี่ยวอะไรล่ะ เงินส่วนตัวของท่านก็เป็นของท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพระองค์นั้นท่านประเสริฐหรือท่านเป็นพระธรรมดาล่ะ
ถ้าพระที่เป็นพระที่ประเสริฐ ดูหลวงตา เขาไปถวายเป็นกระสอบปุ๋ย กระสอบปุ๋ยเลย เขายังเอามาทำเพื่อโลกเลย เห็นไหม มันอยู่ที่พระองค์นั้น พระองค์นั้นท่านเป็นพระที่ประเสริฐหรือท่านเป็นพระพื้นบ้าน ท่านเป็นพระอะไร
แต่คำว่า “ผิด” มันผิดไหม มันผิดไหม
ผิดมันไม่ผิดหรอก แต่มันเป็นโลกวัชชะไง ถ้ามันมีโลกวัชชะ โลกเขาติเตียนๆ นั่นก็พระเป็นคนทำเองไง ถ้าพระเป็นคนทำเอง พระทำอย่างนั้นไง
เพราะคำถามว่า “พระนำเงินส่วนตัว”
คำว่า “ส่วนตัว” คือถวายเฉพาะบุคคล ถวายเฉพาะบุคคลก็เป็นของของท่าน ถ้าเป็นของของท่าน เพียงแต่จิตใจของท่าน ถ้าท่านประเสริฐนะ ท่านประเสริฐ ดูสิ ดูหลวงตาสร้างโรงพยาบาลกี่โรงพยาบาล ตึกนี่เป็นแถวเลย ตึกนี่สร้างเต็มเลย นั่นเป็นสาธารณประโยชน์ ถ้าท่านสร้างเพื่อสาธารณประโยชน์ สาธารณประโยชน์ เราจะทำสาธารณประโยชน์โดยผ่านองค์ท่าน เรายิ่งได้บุญกุศล ๒ เท่า ๓ เท่า นี่ถ้าพูดถึงว่าถ้าเป็นพระที่ดี
แต่ถ้าเป็นพระ เป็นเรื่องส่วนตัว ทีนี้มันอยู่ที่คนถามไง คนถามเราไปมองเอง เพราะเวลามองผู้ถวาย “ข้าพเจ้านึกถึงเงินที่เขาถวายทำบุญให้พระเพื่อให้พระเป็นการใช้ส่วนตัว ใช้ส่วนตัว แล้วไม่ใช่ถวายสังฆทาน”
ถวายสังฆทานมันเป็นของสงฆ์ ถ้าถวายสงฆ์ก็เป็นสงฆ์ ถวายส่วนตัวก็เป็นส่วนตัว ถวายเรื่องส่วนตัว ท่านใช้ประโยชน์เพื่อส่วนตัวก็เป็นเรื่องของส่วนตัว ถ้าเรื่องส่วนตัว เห็นไหม
ฉะนั้น พระ เวลาพระ อย่างเช่นพระหลายๆ องค์บวชตั้งแต่เป็นเณรไม่มีครอบครัว ไม่มีครอบครัว แล้วครูบาอาจารย์เราเยอะมากนะ อย่างเช่นวัดหลายๆ วัดเลย เขาสร้างโรงเรียนประชาบาล โรงเรียนประชาบาล เขาสร้างโรงเรียนประชาบาล
แล้วพระ ดูสิ เวลาอย่างเช่นพระผู้ใหญ่ หลวงตามาจากลาว ที่มาขอสร้างโรงเรียนศาสนา ท่านไม่ให้ ท่านไม่ให้ แต่เวลาท่านไปสงเคราะห์ ท่านให้ เวลาเช่นวัดโพธิสมภรณ์ หลวงตาท่านเป็นเจ้าภาพใหญ่เลย ท่านเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในวัดให้หมด วัดโพธิสมภรณ์นี่หลวงตาเป็นแบ็กอัปอยู่ข้างหลัง ไม่มีใครรู้ นี่ท่านส่งเสริมมาก แต่เวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์บอกปริยัติๆ
นี่คำพูดของท่านนะ เดี๋ยวจะหาว่าปริยัติๆ
ท่านบอกว่า “นั่นน่ะมหาวิทยาลัยโจร มหาวิทยาลัยโจร” ท่านพูดประจำ “มหาวิทยาลัยโจรสอนวิชาโจร” ท่านพูดประจำ เพราะอะไร
เพราะท่านก็เรียนมหามา ท่านก็เรียนมาอยู่ในสังคมนั่นแหละ เพราะในสังคมเด็กประจำ เราก็รู้ว่าเด็กประจำเป็นอย่างไร พระที่ไปเรียนก็เหมือนนักเรียนประจำ ฉะนั้น นักเรียนประจำชายล้วนๆ มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ แต่การศึกษาก็ศึกษาให้เป็นคนดีนะ ศึกษาให้เป็นคนดี แต่คนมันเป็นคนไง
ฉะนั้นจะบอกว่า เขาบอกว่า เพราะเงินที่เขาไปถวาย เขาถวายให้พระเพื่อให้พระใช้เพื่อการส่วนตัว แล้วถ้าเป็นการส่วนตัวแล้วมันก็ต้องใช้ส่วนตัว ใช้เป็นเรื่องค่าโดยสาร ใช้เป็นค่าหนังสือธรรมะ ใช้เพื่อหลอดไฟ
ไอ้นี่เป็นของของสงฆ์ทั้งนั้นน่ะ ของของสงฆ์ เวลาพระที่เขามีน้ำใจเขาให้ได้หมด ครูบาอาจารย์เวลาท่านซื้อของมา ซื้อมาแจก แจกให้พระนะ เพราะพระที่มีชื่อเสียง พระที่สังคมรู้จัก ของปัจจัย ๔ ล้นหลาม พระอยู่ในป่าในเขา พระที่ไม่มีใครรู้จัก พระที่เป็นไปปลายอ้อปลายแขมไม่มีใครไปสนใจหรอก
เวลาพระ เวลาพระที่ไม่มีใครดูแลเลย เห็นไหม เราเคยอยู่ป่าอยู่เขามา นี่พูดให้ฟังประจำกับพวกพระ เทียนที่จะใช้ยังไม่มีเลย ขนาดตอนเราเข้าไปบ้านตาดปี ๒๕๒๓-๒๕๒๔ สบู่ยังไม่มีใช้เลย สีย้อมผ้านี่ โอ้โฮ! ขาดแคลนมากๆ ทั้งสีย้อมผ้า ทั้งสบู่ ทั้งใช้สอย ไม่มี หลวงตาดังคับฟ้านะ แต่ด้วยความดุของท่าน ไม่มีหรอก
เริ่มมี เพราะเราไปอยู่ที่นั่น คุณพรสวรรค์ พรสวรรค์เป็นคนซื้อมา สบู่ตราลักส์ซื้อมาเป็นลังๆ เพราะเราก็นั่งอยู่นั่น หลวงตาถาม “นั่นอะไรน่ะ” เขาบอกว่า “สบู่ค่ะ”
เวลาสบู่เราก็แอบซื้อกันเองนะ เทียนนี่ไม่ต้องพูดถึง เราเป็นคนหาเอง เปิดแล้วเปิดอีกไอ้ตรงตู้นั่นน่ะ เปิดมาไม่มี เราก็ขัดศาลา องค์อื่นมาเปิด กูเปิดแล้วไม่มีหรอก มึงไปเปิดเถอะ ใครๆ มาก็มาเปิด ไม่มีๆ ไม่มีหรอก
แล้วพอมันจะมี มีพระไปบอกดอกเตอร์เชาวน์ ดอกเตอร์เชาวน์เป็นคนแรกที่ซื้อแพ็กใส่ลังส่งเข้าไปในบ้านตาด แต่เดิมนั้นเทียนยังไม่มีจะใช้เลย สบู่นี่ไม่มี เทียนไม่มี สีย้อมผ้าไม่มี
ถ้าพระที่เป็นพระจริงๆ เขาทำกันอย่างนั้น คือเขาจริงทั้งต่อหน้า จริงทั้งลับหลัง จริงทั้งในหัวใจ จริงหมดไง พระจริงมันจริงตั้งแต่ต้นจนปลายไง ไม่มีลูบหน้าปะจมูก ไม่มีพูดฉอเลาะออเซาะ พูดเทียบพูดเคียง พูดจะเอาของใคร ไม่มี นี่พูดถึงถ้าเป็นพระนะ เวลาถ้าพระประเสริฐไง
พระบวชมาทำไม ดูที่เป้าหมาย พระบวชมา บวชมาเพื่อพ้นทุกข์ เพื่อพ้นทุกข์แล้วทำอะไร เขาก็พยายามภาวนาของเขา แล้วของอย่างนี้เป็นเรื่องเศษเดน เรื่องไร้สาระ
โธ่! ถ่านไฟฉายทุบแล้วทุบอีก ตากแดดแล้วตากแดดอีก ถ่านไฟฉายไว้ฟังเทปไง ถึงเวลาใช้หมดแล้วไปตากแดดไว้ ตากแดดไว้ให้มันมีไฟขึ้นมาอีก ก่อนตากแดดก็เอาค้อนทุบๆๆ ทุบเสร็จแล้วก็ไปตากแดด ตากแดดแล้วก็มาฟังเทศน์ พอเสร็จแล้วมันหมด
เราเคยอยู่กับพระดีๆ มา พระดีคือพระองค์หลวงตา แล้วตอนนั้นที่ไป เขาดังทั้งประเทศ เราเข้าไปปี ๒๕๒๓-๒๕๒๔ แล้วพอมาปีสองปี สักสองสามปีมันก็เริ่มอุดมสมบูรณ์แล้ว เริ่มสมบูรณ์เพราะเขาซื้อเข้ามา โยมพรสวรรค์ เราเห็นเลย ไปซื้อพวกสบู่เข้ามา แล้วพวกเทียน ดอกเตอร์เชาวน์เอาเข้ามาก่อน พอดอกเตอร์เชาวน์มา คงข่าวต่อๆ กัน ทีนี้ก็ส่งเข้าไปๆ เออ! ค่อยยังชั่วหน่อย มีใช้ตลอดรอดฝั่ง ไม่อย่างนั้นมันไม่มีทางตลอดรอดฝั่งหรอก ไม่มี
นี้เวลาพูดถึงเขาบอกว่าเขาจะทำบุญพระ พระก็ต้องใช้เรื่องส่วนตัว เรื่องอะไร
พระเขาไม่เอาหรอก ธุดงค์ใครจะแบกเทียนไป ธุดงค์แบกของนี้ไปด้วยหรือ ธุดงค์ไปตัวเปล่าๆ มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ เวลาจุดเทียนเสร็จ ถ้ามันมีนะ จุดแล้วรีบเก็บบริขาร เก็บกลด เวลาเก็บ กลางคืนเก็บกลดทั้งนั้นน่ะ แล้วดับไฟ เพราะไม่ต้องใช้สอยมาก ฉะนั้น ไอ้ของที่จะใช้ๆ ไร้สาระมากเลย
แต่ทีนี้เวลาโยมถาม เขาถาม เราจะบอกว่า พระส่วนใหญ่ พระโดยทั่วไป จิตใจ พระบวชมาจากคน คนเกิดมาด้วยชีวิตของเขา ด้วยความเคยชินของเขา เขาเคยสะดวกสบายของเขามา เวลาเขามาแล้ว พอบวชเป็นพระใช่ไหม ๒๐ บวชได้
แล้ว ๒๐ เดี๋ยวนี้ พระที่มาบวชๆ ก็มีการศึกษาทั้งนั้น พอมีการศึกษาทั้งนั้น เราก็มีการศึกษามา ทำไมเราจะใช้ปัญญาแสวงหาของใช้สอยอย่างนี้ไม่ได้ ทุกคนก็ทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาของเรา เรามีเป้าหมายไง เอ็งบวชมาเพื่ออะไร
เวลาคนบวชมีเป้าหมายมาแล้ว เขาบวชเพื่อสิ้นกิเลส ถ้าเพื่อสิ้นกิเลส ไอ้ของพวกนี้ไร้สาระเลย เพราะอะไร เพราะหนึ่ง บิณฑบาตไปรับแต่ปัจจัย ๔ เวลาเขาถวายปัจจัยใช่ไหม ขอถวายปัจจัย ๔ เพื่ออยู่ที่การกสงฆ์ อยู่ที่สงฆ์ที่เก็บไว้ อยู่ที่ไวยาวัจกร ถ้าพระคุณเจ้าอยากได้อะไรก็ไปบอกเขาให้เอาปัจจัย ๔
แต่เวลาเราบิณฑบาต เราบิณฑบาตปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ สมบูรณ์แล้ว เขาบิณฑบาตไปแล้ว ฉันเสร็จแล้ว ล้างบาตรแล้ว เขาภาวนาไปแล้ว เขาไม่สนใจเรื่องอย่างนี้
นี่เราจะบอกว่า คำถามมันถามเวลาไปมองพระ มองพระที่ไหน ไปมองพระที่ไหน ถ้ามองพระ มองพระที่เขาเห็น ถ้ามองพระที่เขาเห็น เขารู้ไง “หากพระรูปนั้นเอาเงินส่วนตัวไปให้แก่คนอื่น เช่น สร้างบ้านให้แก่อดีตภรรยา”
เอ็งรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอดีตภรรยา เราจะรู้ได้ว่าพระองค์นี้เคยมีภรรยามา เราก็ต้องเป็นลูกศิษย์ใช่ไหม เราต้องเป็นคนคุ้นเคยใช่ไหม เราต้องรู้จักใช่ไหม ถ้าเราไม่รู้จักพระองค์นั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์นั้นเคยมีภรรยามา ถ้าเราไม่รู้จักพระองค์นั้น
ว่าพระองค์นั้นเคยมีภรรยามา มีครอบครัวมา มีบุตรมา แล้วถ้ามีบุตรมา เพราะเรารู้จักพระองค์นั้น เราเข้าใจพระองค์นั้นไง เราถึงบอกว่า พระรูปนั้นได้เอาเงินส่วนตัวนั้นไปให้แก่คนอื่น เช่น สร้างบ้านให้แก่อดีตภรรยา ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าป่วยไข้ให้บุตร สงเคราะห์ญาติที่ลำบากป่วยไข้ พระนั้นจะบาปไหม
ไม่ ว่าอย่างนั้นเลย เพราะเงินส่วนตัวเขา มันจะบาปตรงไหนล่ะ แต่ถ้าพระองค์นั้นไปเอาเงินของคนอื่นมา หรือไปเอาเงินของสงฆ์มา นั่นน่ะเข้าถึงความผิดแล้ว
แต่ถ้าเงินส่วนตัวของเขา ถ้าเงินส่วนตัวของเขานะ พระในสมัยพุทธกาลไง เวลาบวชแล้วก็ไปธุดงค์ใช่ไหม เวลากลับจากธุดงค์มา ยังไม่ได้คุณธรรมมา ก็มีข่าวว่าพ่อแม่ อดีตเขาเป็นเศรษฐีมาก แล้วพอไปธุดงค์กลับมาก็กลับมาบ้านเดิมไง ไปถึงทางบ้านเดิมบอกว่าหมดแล้ว จากเศรษฐี พอบวชไปแล้วก็โดนเขาโกง พ่อแม่ก็แบบว่าชราภาพไป ก็สุรุ่ยสุร่าย ไม่ได้ดูแลรักษา จนเขาโกงหมดเลย ตอนนี้เป็นยาจกขอทานอยู่นั่น
ใจก็คิดเลยนะ จะไปหาแม่ เพราะเราเป็นคนผิดเอง มาบวชแล้วไม่ได้ดูแลพ่อแม่ พ่อแม่โดนคดโดนโกงจนหมดเนื้อหมดตัว จะสึก สึกเพื่อไปดูแลพ่อแม่ แต่มาคิดว่ามาถึงแล้วจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วถ้าไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสึกแล้วจะไปดูแลพ่อแม่
ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกพ่อแม่ตอนนี้โดนโกงจนหมดเนื้อหมดตัวเลย อยากจะไปดูแลพ่อแม่
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เอาพ่อแม่มาไว้วัด แล้วบิณฑบาตมาเลี้ยงพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่
แล้วพอบิณฑบาตมาเลี้ยงพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่ พระติเตียนไปหมดเลย นี่เหมือนคำถามนี้ พระบิณฑบาตมาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ไปฟ้องพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ พระที่บิณฑบาตเลี้ยงพ่อแม่นี่แหละเป็นปัญญาชน เป็นพระที่ดี เพราะพระก็มีพ่อมีแม่
วันนี้วันแม่ พ่อแม่ บิณฑบาตมาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ทำไมจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไม่ได้ เราบิณฑบาตมาฉัน เราให้พ่อให้แม่เรากินด้วย ชาวบ้านที่ใส่บาตรมาเขาจะติเตียนเราไหม เขาก็เลี้ยงพ่อแม่ สุดท้ายแล้วสรุปว่า เข้าใจว่าพระองค์นี้สิ้นกิเลสด้วย นี่เพราะวาสนาไง
ฉะนั้น ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องของเขา ถ้าเรื่องส่วนตัว เรื่องของเขาก็ทำได้นะ
พระที่ดูแลพ่อแม่ พระ ดูสิ เวลามีหลายคน ถ้าลูกคนเดียวมาบวช เราเห็นนะ ตอนนี้ เมื่อ ๒-๓ วันนี้แถวระยองเขามีองค์หนึ่งที่ไปดูแลพ่อแม่ โอ้โฮ! ชาวบ้านเขาชื่นชมกันมาก เขาชื่นชมกันมาก เพราะพระยังทำงานอย่างนี้ได้
เราก็มีแม่เหมือนกันแต่เราไม่ได้เอาแม่เรามาดูแล เพราะบ้านเราลูกสิบกว่าคน พี่น้องเต็มเลย เขาดูแลกันเอง ถ้ามีเราคนเดียวสิ อู้ฮู! ถ้ามีคนเดียวนะ สุดยอดเลย โทษนะ แม่ของกู มึงอย่ายุ่ง
ไอ้นี่สิบกว่าคน ไปเอามาเขาหาว่าเราแอ็กต์ บวชเป็นพระก็จะมาอวดเก่ง ไม่เลี้ยงพ่อแม่ เขามีอาชีพ เขาจะดูแลพ่อแม่ ไอ้พระก็จะมาแซงหน้า เขากลัวว่าเราจะอวดเก่ง เขาก็เลยดูแลกันเอง
ถ้ามีลูกหลายคน เราจะไปเอามาเลี้ยงดูมันก็น่าเกลียด แต่ถ้าเราเป็นลูกคนเดียว ไอ้พระที่เขาลูกคนเดียวเขาก็ไปเอาพ่อแม่เขามาเลี้ยง โอ้โฮ! ประชาชนก็ชื่นชมกันหมดเลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพูดถึงว่า ทีนี้มันไม่ใช่พ่อแม่ไง นี่เป็นอดีตภรรยา ถ้าอดีตภรรยา การดูแลกัน ถ้าดูแลโดยศีลธรรมนะ อย่าดูแลกันโดยแบบโลกๆ
แล้วถ้าค่าเล่าเรียนบุตร ค่าเจ็บไข้ได้ป่วย สงเคราะห์ หลวงตาท่านสร้างโรงพยาบาลเลย เวลาท่านสร้างเรือนพักในคุก พวกเด็กปัญญาอ่อน ท่านสร้างให้เลย หลวงตาท่านไปสร้างที่พักสุนัข ของพวกเลี้ยงสุนัข ท่านสร้างให้เลย นั่นทำไมท่านทำดีล่ะ แล้วเราชื่นชมกันด้วย แต่ถ้ามันเป็นคุณงามความดีนะ
แต่เวลาที่คำถาม เวลาคำถาม เราไปมองพระอย่างนั้นน่ะ เราจะบอกว่า พระสามสี่แสนนะ แล้วสามสี่แสนก็สามสี่แสนครอบครัว ครอบครัวที่มั่งมีศรีสุข ครอบครัวที่เจริญรุ่งเรืองเขาส่งเสริมกัน นั่นก็สาธุ ไอ้ครอบครัวที่ขาดแคลน ไอ้ครอบครัวที่ทุกข์ที่ยากมานะ ถ้าเขาช่วยเหลือเจือจานกันได้ เขาจะช่วยเหลือเจือจานกัน เราก็สาธุนะ แต่ถ้ามันทำโดยเกินกว่าเหตุมันก็เป็นโลกวัชชะ
ดูสิ หลวงตาท่านพูด พระมาจากไหน พระก็มาจากประชาชน ประชาชน พระก็มีพ่อมีแม่ แล้วเวลาสังคมมีความเพลี่ยงพล้ำ พระต้องช่วยๆ ไอ้เรื่องต้องช่วยมันช่วยโดยเป็นธรรม ถ้าช่วยโดยเป็นธรรม
ฉะนั้น เราจะบอกว่า ไอ้คนถามมันถามเพราะมันเห็นอย่างใดล่ะ เห็นพระทำอย่างใด ถ้าเขารู้ถึงเรื่องส่วนตัวขนาดนั้นแสดงว่าเขาก็ต้องรู้จักเขา ถ้ารู้จักเขา ถ้าเขาทำแล้วมันไม่ผิดศีลธรรม คือไม่ได้โกง ไม่ได้คอร์รัปชัน นั่นเขาทำด้วยเวรด้วยกรรมของเขา
แต่ถ้าเป็นพระที่ดี พระที่ดีเวลาเขาบวช โม้ซะหน่อย ประวัติหลวงปู่พรหม ดูสิ แจกเจ็ดวันไม่หมด สมบัติน่ะ เศรษฐีมาบวช นี่ประวัติหลวงปู่พรหม นั่นน่ะเขาแจกสมบัติเลย แจกเงินแจกทอง แจกหมดเลย แล้วมาบวช พระอย่างนี้ก็มี ฉะนั้น เวลาพระที่ดีก็มีใช่ไหม
ฉะนั้น คำถามมันเป็นคำถามที่จะบอกว่าผิด มันก็ไม่ผิดอยู่แล้ว เพราะคำถามว่า นำเงินส่วนตัวของท่านไปให้คนอื่น
ถ้านำเงินส่วนตัวของท่านไปให้คนอื่น คนอื่นนั้นถ้าเป็นคนทุกข์คนจน คนตกทุกข์ได้ยาก โอ้โฮ! เราสาธุนะ พระมันมีแต่เอา สะสมไว้แล้วไม่จุนเจือใครเลย แต่ถ้าพระให้คนอื่น ถ้าเป็นคนอื่นนะ จุนเจือนี่เราเห็นด้วย
เพราะว่าอย่างที่ว่า เวลาหลวงตาท่านพูด วัดคุ้มแดดคุ้มฝนได้พอแล้ว พระเวลาบวชมาแล้วไปบิณฑบาตกับคนทุกข์คนจน กระต๊อบห้องหอ ไอ้พระอยู่ตึกอยู่ร้านมีคอมพิวเตอร์ มีทุกอย่างพร้อม มีเครื่องยนต์กลไก ไอ้ชาวบ้านเขามีแต่สองเท้า เดินไปไหนก็มีแต่เท้าเปล่า เช้าขึ้นมาเขายังหุงข้าวใส่บาตรพระ พระเช้าขึ้นมาก็สะพายบาตรไปบิณฑบาตกับเขา บิณฑบาตกลับมา ฉันเสร็จแล้วเสวยสุขอยู่ในกุฏิของตนน่ะ เครื่องยนต์กลไกพร้อมไปหมด ท่านพูดแล้วท่านบอกว่าเศร้าใจมาก เศร้า เศร้า เวลาฟังเทศน์ม้วนนั้นแล้ว แหม! แทงใจนะ เวลาหลวงตาท่านพูดน่ะ
นี่ไง พระก็ช่วยเหลือเจือจานเขาได้ เพราะช่วยเหลือเจือจาน สิ่งที่ได้มามันก็เป็นปัจจัยใช่ไหม ปัจจัยที่โยมอยากได้บุญมาใช่ไหม แล้วพระเสียสละต่อเนื่องไปมันไม่ได้บุญหรือ มันก็ได้บุญนะ แล้วพระเขาไม่แสวงหา นี่พูดถึงว่าแสวงหานะ แต่พระจริงๆ เขาไม่แสวงหา ไม่มี อย่างที่เราว่าน่ะ ไม่มี
เวลาฟังมา เพราะเราไปเจอกับตัวเอง เราไปจับเส้นหลวงปู่สุวัจน์ตอนไปอยู่อีสานใหม่ๆ ท่านถาม “ไอ้หงบเอ็งมาจากไหน” “มาจากราชบุรี”
โอ้โฮ! เล่าเลย เดินจะไปภูเก็ต เดินผ่านจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ต เดินทุกสถานีเลย ไปปักกลดนอนกลางคืนไง เช้าเขาก็มาใส่บาตร “ท่านอาจารย์จะไปไหน” “จะไปภูเก็ต” “ทำไมท่านอาจารย์ไม่ขึ้นรถล่ะ”
ท่านบอกในใจนะ มันถามทุกคนเลย แต่มันไม่เคยซื้อตั๋วให้เลย แล้วก็เดินไปถึงภูเก็ตเลย
นี่ยอดคน ถ้าแค่พูดคำเดียวเขาก็ซื้อให้แล้ว ตั๋ว เพราะคนที่เขามาใส่บาตรก็พวกภรรยาพวกลูกเมียของนายสถานีรถไฟทั้งนั้นน่ะ “ท่านอาจารย์ทำไมไม่ขึ้นรถไฟล่ะ”
แต่ด้วยการเคารพศีล ไม่พูดเคาะพูดเผดียงเพื่ออยากได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองต้องเดินจากกรุงเทพฯ ไปยันภูเก็ตนะ หลวงปู่สุวัจน์พูดกับไอ้หงบ เพราะท่านถามเรา เราไปจับเส้น “หงบ เอ็งมาจากไหน” “มาจากราชบุรี”
ทีนี้พอราชบุรี คงฝังใจท่านมาก เดินจากกรุงเทพฯ ยันภูเก็ต แล้วบอกถามทุกสถานีเลย “ท่านอาจารย์จะไปไหน” “จะไปภูเก็ต” “แล้วทำไมท่านอาจารย์ไม่ขึ้นรถไฟล่ะ ก็เดินบนทางรถไฟ ก็ท่านอาจารย์ขึ้นรถไฟก็จบ”
ท่านก็นิ่ง แต่ในใจอยากจะให้เขาถวายตั๋วนะ แต่ไม่พูดน่ะ หลวงปู่สุวัจน์นี่ เราถึงเคารพท่านมาก คือคนเรามันเห็นผลประโยชน์เฉพาะหน้า แค่พูดคำเดียวก็ได้ผลประโยชน์ ไม่ต้องเดินกันเป็นเดือนกว่าจะเดินจากกรุงเทพฯ ถึงภูเก็ต นี่อาชาไนย จิตใจอย่างนี้ต่างหากถึงจะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา จิตใจอย่างนี้ต่างหากถึงภาวนาเป็น จิตใจอย่างนี้ต่างหากถึงเอาชนะหัวใจของตนได้
จิตใจที่อ่อนแอ เขายังไม่ได้ถวายเลย ขึ้นป้ายแล้ว “ฉันอยากได้ตั๋วรถไฟไปภูเก็ต” ถือป้ายโชว์เลย อยากจะให้เขาซื้อให้ แต่นี่เขาถามนะ ท่านยังไม่พูดเลยหลวงปู่สุวัจน์นี่
เราไปจับเส้นท่านเอง โอ้โฮ! ท่านเล่าให้ฟังเยอะ เล่าให้ฟังตั้งแต่ท่านเดินไปภูเก็ต ไปภูเก็ตแล้วไปเจออะไรบ้าง ไปอยู่ที่ภูเก็ตนั้นอยู่สังคมสงฆ์ สงฆ์องค์ไหนเป็นสงฆ์ที่ดี สงฆ์องค์ไหนเป็นสงฆ์ที่พูดปลิ้นปล้อน ท่านพูดให้ฟัง ท่านเล่าให้ฟัง เพราะว่าอะไร เพราะเราบอกเราไปจากราชบุรี ไอ้ตรงนี้คือประสบการณ์ชีวิตของท่าน เป็นช่วงหนึ่งตอนหนึ่งในประสบการณ์ชีวิตของท่านที่ท่านไปอยู่ภูเก็ต ๒ พรรษามั้ง
นี่พูดถึงเราเจอพระที่ดีๆ อย่างนี้มาก็มี แล้วอย่างพระที่เขาพูดอย่างนี้ ที่ว่าเอาเงินส่วนตัวไปใช้ร้อยแปด
ถ้าเขาใช้ด้วยความถูกต้องดีงามนะ เขาก็มีครอบครัว เขาก็มีญาติมีพี่น้อง แต่ถ้าเขาหามาด้วยความผิดพลาด เขาหามาด้วยความไม่ดี อันนั้นผิด เพราะโดยทั่วไปเขาหามาโดยเขาใช้สอยหรือสมณสารูปที่ไม่สมควร เรามองไม่สมควร
หลวงตาบอกว่า ตามันจะแตก
เรามองไปสังคมพระสิ ลูกตาจะแตกนะ เห็นแล้วมันรับไม่ได้ เห็นแล้วมันสะอิดสะเอียน บวชมาทำไม ถ้าจะทำอย่างนั้น สึกไปเป็นฆราวาสดีกว่า ทำมาค้าขายแข่งกับฆราวาสเขา
ไอ้นี่มาบวชเป็นพระ สมณสารูป พระคือต้องการใช้ชีวิตแตกต่างจากคฤหัสถ์ พระต้องใช้ชีวิตแตกต่าง พระทำให้อาหารสุกเองไม่ได้ พระทำแบบโลกไม่ได้ พระค้าขายไม่ได้ พระค้ากำไรเกินควรไม่ได้ พระไม่ได้ทั้งสิ้น
พระมีได้อย่างเดียว วิสาสะในพระด้วยกัน พระด้วยกันมีของใช้ของสอย วิสาสะแลกกัน เอ็งมีไอ้นี่ ข้ามีไอ้นี่ คล้ายกัน แลกกันในหมู่พระนี่ได้ แต่ฆราวาสไม่ได้
เวลาพระอานนท์ เวลาท่านฉันอาหารแล้ว มีอาหารให้กับนักบวชนอกศาสนาไป เขาไปพูดข้างนอกไงว่าพระอานนท์ให้เขา แล้วเขาบอกว่าเหมือนกับพระอานนท์ศรัทธาเขา มาฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถึงบัญญัติไง ภิกษุให้อาหาร ให้อะไรกับนักบวชนอกศาสนาไม่ได้ เขาจะไปโฆษณาว่าพระศรัทธาเขา
นี่ไง พระห้ามๆๆ วินัยห้ามไว้หมดเลย ห้ามค้าขาย ห้ามทำทุกอย่าง แต่ถ้าศาสนสงเคราะห์โลก ได้ เราสงเคราะห์กันด้วยความตกทุกข์ได้ยาก เราสงเคราะห์กันเพราะว่าเขาลำบากลำบน เราจะสงเคราะห์ สงเคราะห์สงหาด้วยความถูกต้องดีงาม ได้
เพราะศาสนานี้กว้างใหญ่ ศาสนานี้เพื่อประโยชน์โลก แต่ศาสนานี้ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของตน ทำเพื่อประโยชน์ของโลก ถ้าเป็นศาสนสงเคราะห์ ได้ แต่ถ้าเป็นการกระทำที่ผิด ผิด โลกวัชชะไง
นี่พูดถึงว่าเขาบอกว่า “พระนำเงินส่วนตัวไปให้แก่คนอื่น บาปไหม”
ไม่ เพราะคำว่า “เงินส่วนตัว” เงินของเขา เขาจะให้ใครก็ได้ เพียงแต่เขาให้ถูกหรือผิดเท่านั้นเอง ถ้าเขาให้ถูก สุดยอด ถ้าเขาให้ผิด อย่างเช่นพระเอาเงินไปซื้อยาบ้า ผิด ถ้าเขาทำผิด ผิดมหาศาล แต่ถ้าเขาทำถูก ถูก ฉะนั้น เงินส่วนตัวของเขา เขาจะสงเคราะห์สงหาใครนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่คำถามบอกว่าเป็นอดีตภรรยา
เออ! ไอ้อย่างนี้มันเป็นที่โลกวัชชะ โลกเขาติเตียน เพราะในเมื่อเราละมาแล้ว จากภรรยา จากครอบครัวแล้ว เราจะให้เขาก็ให้เขาไกลๆ อย่าเข้าไปใกล้
เวลาภาวนา เราภาวนาเพื่อความสงบระงับใช่ไหม เราจะได้พ้นจากทุกข์ใช่ไหม เราไม่ต้องการคลุกคลี ก็เรามาบวช เราเสียสละมาแล้ว เราหนีมาจากเขา เราหนีเขามา เราแยกกับเขามา แล้วทำไมต้องไปกว้านกลับมาล่ะ ไอ้นี่มันจะผิด ผิดตรงนี้ ไอ้ตรงนี้ไม่เห็นด้วย
แต่ถ้าเป็นค่าเล่าเรียนบุตร เพราะว่าพระเยอะนะที่เขาส่งเสริมการศึกษาเพื่อคนทุกข์คนจนเยอะ มีคนเขาทำ หลวงตาท่านส่งเสียเด็กเรียนเยอะแยะ ไอ้นี่เขาทำกันได้ แล้วทำไมเขาจะทำไม่ได้ ทำได้ ศาสนาสงเคราะห์โลกได้ แต่ศาสนาไม่ทำเพื่อตัวเอง ไม่ทำเพื่อเห็นผิด อย่างนั้นผิด
ฉะนั้น ที่เขาทำผิดไหม
เราจะบอกว่า ถ้าเงินส่วนตัว ไม่ผิด เอวัง